Thursday, September 30, 2010

Social Media เหมาะกับตลาด Long Tail [1]

    สำหรับการค้าแบบเดิม หากคุณลองสังเกตดูจะพบว่า รายได้ส่วนใหญ่ของร้่านค้านั้น จะมาจากสินค้าเพียงไม่กี่ชนิด เช่น ร้านขายหนังสือ มีรายได้ส่วนใหญ่จากพวกหนังสือ Best Seller ที่ขายดีมาก พิมพ์ซ้ำไม่รู้กี่ครั้ง ขณะที่หลายๆเล่มกองจมอยู่ชั้นหนังสือด้านล่างสุด ยากที่จะมีใครเหลียวแล หรือกรณีร้านขายซีดีเพลง ก็จะพบว่าเ้พลงฮิตติดชาร์ดนั้นสร้างรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำแต่ขณะที่เพลงแนวเดียวกันบางจำพวก แทบไม่มีใครถามหาเลย



    และสินค้าที่หลายคนเมิน ไม่เป็นที่นิยมของคนหมู่มากนั้น ต้องถูกขจัดออกไปจากร้านอย่างรวดเร็วด้วยการลดราคา เพื่อไม่ให้ชั้นวางของต้องเปลืองเนื้อที่และเตรียมรอสินค้ายอดนิยมหัวแถวต่อไป เรียกได้ว่า ไม่มีที่ว่างสำหรับพวกหางแถว

    นั้นหมายความว่า สินค้าที่เจาะกลุ่มการตลาดขนาดเล็ก [Niche Market] ไม่อาจดำรงอยู่ได้ เพราะไม่มีช่องทางที่จะวางจำหน่ายและด้วยการตลาดที่มีขนาดเล็กย้อมไม่คุ้มที่จะใช้กำลังต่างๆถาโถมในรูปของการโฆษณาแบบคนกระเป๋าหนัก

    แต่เมื่อเข้าสู่โลกออนไลน์ ด้วยความที่มีผู้ใช้เป็นจำนวนมาก และความสามารถอันทรงพลังของ เสิร์ชเอ็นจิ้น ทำให้มีกลุ่มคนส่วนน้อยแต่จำนวนไม่น้อยสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้จากเดิมหาได้ยากตามร้านค้าทั่วไป แต่เมื่ออยู่บนโลกออนไลน์ ก็สามารถเข้าถึงได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว

    ทำให้สินค้าที่เคยขายไม่ได้เลย สามารถขายได้เป็นกอบเป็นกำ และหากเป็นกราฟ ก็จะเป็นสินค้าส่วนหางที่แม้จะมีผู้นิยมน้อย แต่ก็ยังสามารถขายได้ ตอบสนองความต้องการชาย Niche ตรงส่วนนี้แหละครับที่เรียกว่า "การตลาด Long tail"

    และด้วยปรากฎการณ์นี้ ทำให้หลายคนสนใจที่จะเข้ามาทำตลาด Niche ที่เคยถูกหมางเมิน และสื่อที่เหมาะสมอย่างยิ่งคือ การใช้ Social Media เพราะด้วยความที่แทบจะไม่มีต้นทุน

Long tail Matket
    เราคงไม่ยินดีที่จะใช้ทรัพยากรจำนวนมากเพื่อสื่อสารการตลาดผ่านช่องทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรือสื่อระดับมวลชนอื่นๆ เหมือนกับการสาดกระสุนไปอย่างไร้ทิศทาง ขณะที่จำนวนลูกค้ายังคงมีจำนวนน้อย เราคงยินดีมากกว่าในการค้นหาที่อาจกำลังพูดถึงเรา จากนั้นเข้าไปทำความ สนิทสนม พูดคุย รับฟัง และทำความเข้าใจ ตลอดจนจัดกิจกรรมร่วมกัน

    สมมติว่า เกษม นักร้องแนวเพลงแบบพังค์ ที่มีคนนิยมน้อยมากๆ เมื่อเขาทำอัลบั้มเพลงออกมา และหวังว่าจะจัดจำหน่ายที่ร้านขายซีดีระดับชั้นนำของประเทศย่อมเป็นไปได้ยาก เกษมจึงหันมาใช้สื่อออนไลน์ โดยนำเพลงไปขายในเว็บไซต์ที่ยินดีจำหน่ายเพลงจากนักร้องค่ายอิสระ โดยทำการแบ่งส่วนรายได้กันไประหว่างนักร้องกับเว็บไซต์ เช่น www.coolvoice.com เป็นต้น แต่ปัญหาคือ จะทำอย่างไรให้คนรู้จักเพลงของเขา เกษมพยายามมองหากลุ่มคนที่ฟังเพลงแนวพังค์แม้จะเป็นส่วนน้อยแต่ก็มีสังคมที่เป็นของตัวเอง บนบอร์ดเฉลิมกรุงที่มีคลับ Niche มากๆ อย่างสุนทราภรณ์ ,ดนตรีนอกกระแส ,ดนตรีไทย ,หรือแทงโก้

    เกษมควรเข้าไปเป็นส่วนหนุ่งของคลับเล็กๆ แห่งนี้ เพื่อเข้าไปพูดคุย ให้ความรู้ แจ้งข่าวสารความเคลื่อนไหว และอาจแนะนำเพลงของตนให้เพื่อนๆฟัง ผ่านทาง Facebook ที่เป็นเสมือนที่พบปะกับบรรดาแฟนๆ เข้ามาพูดคุยเป็นจำนวนมาก แต่การก้าวสู้ Facebook ย่อมเปิดโอกาสในการสร้างกระแสของการบอกต่อกันไปเรื่อยๆ และมีจำนวนเพียงพอที่จะทให้เกษมมีรายได้เพื่อสานต่องานที่เขารัก

    นอกจากการตลาด Long Tail แล้ว Social Media ยังเหมาะกับกิจการจำพวก SMEs ทั้งหลาย ขอยกตัวอย่างร้านกาแฟที่น่าสนใจอย่าง "วาวี" ที่ก่อตั้งโดยคุณ ไกรฤทธิ์ ฟูสุวรรณ นักธุรกิจชาวเชียงใหม่ ที่ทำธุรกิจมาประมาณ 5 ปี ต้องยอมรับว่า วาวีไม่ได้เป็นร้านกาแฟประเภทยอดนิยม เพราะยังมีจำนวนสาขาไม่มากนักเมื่อเทียบกับร้านกาแฟแบรนด์ดังอื่นๆ ดังนั้นจึงควรครองตลาด Niche กับกลุ่มหนึ่งที่ต้องการความแตกต่างเท่านั้น [Continue Next Post !....]

No comments: